ย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน บ้านเราในสมัยนั้นยังไม่มีโทรทัศน์สี มีแต่ขาวดำ แถมโทรทัศน์ที่ดูกันในสมัยนั้นก็เครื่องไม่ใหญ่มาก จอขนาดไม่เกิน 21” เวลาดูโทรทัศน์ในสมัยนั้นคือเวลาของครอบครัวโดยแท้จริง ทุกคนในบ้านจะมารวมตัวกันอยู่หน้าโทรทัศน์ รายการทีวีในตอนนั้นมีไม่มากเหมือนในสมัยนี้แต่ที่จะจำได้แม่นที่สุดคือ รายการข่าวตามด้วยการ์ตูนและตบท้ายด้วยละครซึ่งฉันแทบจะไม่เคยได้สัมผัสกับละครหลังข่าวเลย เพราะส่วนใหญ่จะหลับก่อนทุกครั้ง โดยข่าวจะมาเวลาประมาณ 1 ทุ่มครึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฉันและน้องสาวเบื่อมาก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกับน้องสาวตั้งใจรอด้วยความใจจดใจจ่อคือ “การ์ตูนหลังข่าว” ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นว่า..... “ทำไมฉันจึงรู้จักในหลวง”
เมื่อถึงเวลาข่าวในช่วงแรกๆฉันจะไม่ค่อยได้ให้ความสนใจซักเท่าใดนักเพราะว่ายังเด็กอยู่มาก แต่จะมีสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันกับน้องต้องวิ่งมาหน้าทีวีคือ “เพลงขึ้นต้นของข่าวในพระราชสำนักฯ “ พอเพลงนี้มาเมื่อใดนั่นคือสัญญาณว่าข่าวใกล้จบแล้วแต่นั่นก็คือการที่ฉันกับน้องสาวมีโอกาสได้ดูข่าวในพระราชสำนักฯไปโดยปริยาย ในขณะที่ฉันดูข่าวในพระราชสำนักฯ ฉันพบว่ามีพระราชาพระองค์หนึ่งเดินทางไปในถิ่นธุระกันดารที่เต็มไปด้วยฝุ่นตมและถนนที่ขรุขระไม่ใช่ถนน 6 เลน 10 เลนอย่างเช่นทุกวันนี้และจำได้อีกว่า ขบวนรถพระที่นั่งที่พระองค์ประทับไม่มีแอร์แม้แต่ซักคันเดียว
ฉันเคยสงสัยว่าทำไมคนเหล่านั้นจึงสามารถมานั่งรอเข้าเฝ้าพระองค์อยู่เป็นวันๆ ได้แต่แล้วฉันก็เข้าใจว่าสิ่งที่พวกเค้ารอคอยก็คือการที่ได้มีโอกาสชมพระบารมีของพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิดอีกทั้งสิ่งที่ทำให้ดีใจไปยิ่งกว่านั้นคือ...พวกเค้ารู้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จไป ณ ที่แห่งใด ทุกที่เสด็จไปจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ฉันนั่งดูข่าวเช่นนี้ทุกวันจนบางครั้งหลับไปตั้งแต่ข่าวยังไม่จบจนลืมดูการ์ตูนไปเลยก็มี
ทุกวันนี้ฉันก็ยังหวนนึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กรู้สึกดีใจที่ได้เกิดมาในช่วงเวลานั้น ได้มีโอกาสเห็นในหลวงภูมิพลฯ ทรงปฏิบัติพระราชกรณีย์กิจให้กับพสกนิกรของพระองค์อย่างต่อเนื่องโดย ไม่มีคำว่า “หยุด” ถ้าในวันนั้นฉันไม่สนใจข่าวในพระราชสำนักฯอย่างเช่นเด็กคนอื่นๆในรุ่นเดียวกัน วันนี้ฉันก็คงจะไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวให้กับคนรุ่นต่อจากฉันได้รู้ว่า...
"การที่ประเทศไทยมีในหลวงนั้นคือสิ่งที่ประเสริฐสุดเพียงใด"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น