วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าความภาคภูมิใจ (ก่อนกลับบ้าน)


เมื่อสักชม.ที่ผ่านมาระหว่างที่ยืนรอรถจะกลับบ้านสายตาเหลือบไปเห็นน้องผู้หญิงคนนึง   รู้สึกว่าจะเป็นผู้พิการตาบอดทั้งสองข้างนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายเดียวกัน   ด้วยความที่ชอบเป็นคนช่างสงสัยอยู่เป็นทุนเดิมก็พยายามมองหาไม้เท้าของเธอเพราะสงสัยว่าเป็นผู้พิการตาบอดแล้วทำไมจึงไม่มีไม้เท้า   พอจ้องมากๆ เข้าเธอก็หันมามองหน้าสบตากับเรา
"เฮ้ย... น้องเค้ามองเห็นนี่หว่า!!!"  //  แบบว่า..ตกใจอย่างแรงงงงงงง...  

จังหวะนั้นมีรถเมล์แดงมาจอดที่ป้ายรถพอดีสาวน้อยผู้พิการก็ทำท่าเพ่งมองรถเมล์คันที่มาจอด แล้วหันซ้ายหันขวาทำท่าจะหาคนถาม  ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เธอก็เลยถามขึ้นว่าจะไปรถสายอะไร พร้อมๆ กับเราซึ่งก็คิดว่าน้องเค้าคงต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดีเหมือนกัน  น้องเค้าบอกว่ารอรถสาย 136 อยู่   เราบอกน้องว่างั๊นเดี่ยวจะรอรถแล้วขึ้นไปเป็นเพื่อนเพราะรถสายนี้วิ่งผ่านหน้าบ้านของเราอยู่แล้วพอผู้หญิงคนที่นั่งข้าง น้องเค้าเห็นเราเข้าไปถามนั่น โน่นนี่น้องเค้าแล้ว  เธอก็ยิ้มให้เราทีนึงเหมือนจะเบาใจว่าน้องเค้าได้นารีขี่ม้าขาวเข้ามาดูแลให้แล้ว   อิ อิ  

เราจึงถามน้องว่าจะไปลงที่ไหน?   น้องบอกว่าจะไปลงที่สวนจตุจักร   เราตามต่อว่าไปลงที่สวนจตุจกรแล้วจะไปไหนต่อ  (แล้วมันเรื่องอะไรของตรูฟระ?  ถามซอกแซกจริงๆ ฮ่าาาา...)   น้องบอกว่าต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถสาย 29  เราถามต่ออีกว่า... แล้วจะนั่งสาย 29 ไปลงที่ไหน???  "น้องตอบว่า...จะไปลงหัวลำโพง"  แอร๊ยสสสสสสส์...  OoO"  ตกใจอย่างแรงงงงส์ (อีกครั้ง)   ใครหนอช่างแนะนำน้องเค้าได้เช่นนี้!!!   ตอนนั้นรู้ว่าคงจะปล่อยน้องเค้าให้เดินทางไปเองอย่างนันไม่ได้แล้วจึงตามต่ออย่างไม่เกรงใจว่า  จะไปทำอะไรที่หัวลำโพงคะ?  น้องบอกว่าจะนั่งรถไปลงทะเบียนเรียนที่ขอนแก่น  รถไฟฟรีจะออกตอน 3 ทุ่ม  แล้วน้องก็ถามเราต่อว่าที่จริงหนูสามารถนั่งไปรถไฟฟ้าใต้ดินฟรีไปลงที่หัวลำโพงได้โดยใช้บัตรประจำตัวของผู้พิการ   แต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปขึ้นตรงไหน?  เพราะตาของน้องสามารถมองเห็นได้แค่ 30 %   ครั้นจะถามใครก็เกรงใจกลัวเค้าจะไม่ว่างให้ถาม  (โถ..แม่คุณ )    เราเลยบอกกับน้องว่าถ้าน้องไปต่อรถอย่างที่บอกพี่มั่นใจว่าน้องไปขึ้นรถไฟไม่ทัน 3 ทุ่มแน่ๆ  เดี๋ยวพี่จะเดินไปส่งขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินให้เอง   แล้วเราก็จูงมือกับน้องเค้าเดินย้อนขึ้นไปเพื่อพาน้องไปลงรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานีพระราม 9

ระหว่างที่เดินไปก็ชวนคุยกันไป  น้องเล่าให้ฟังว่า  ก่อนจะมานั่งรอที่ป้ายรถเมล์นี่น้องมาจากหน้าม.รามฯ  ขึ้นแท็กซี่บอกว่าจะไปหัวลำโพง ทั้งตัวเหลือเงินอยู่แค่ 180 บาท  แต่แท็กซี่กลับมาปล่อยให้น้องลงตรงสถานฑูตจีนแทน  อ้างว่ารถติด แล้วเรียกค่าโดยสาร 178 บาท แล้วยังแนะนำน้องเค้าให้ขึ้นรถเมล์ฟรีสาย 136 ไปลงจตุจักร  แล้วต่อรถเมล์ฟรีสาย 29  ไปลงหัวลำโพง  (ดูความเลวร้ายของคนเรานะ..  ทำได้แม้แต่ผู้พิการ)  แท็กซี่เอาน้องเค้ามาทิ้งไว้ที่ป้ายรถเมล์ตั้งแต่ 5 โมงครึ่ง  น้องบอกนั่งอยุ่ตรงนี้มาราวๆ 2 ชม.ได้ เราตกใจมากเพราะปกติเราจะไม่ค่อยมาขึ้นรถที่ป้ายนี้ซักเท่าไร  นี่ถ้าเราไปขึ้นรถกลับบ้านอีกป้ายนึงตามปกติ ก็ไม่รู้ว่าน้องเค้าจะต้องนั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์นี้จนถึงเมื่อไหร่

น้องเล่าว่าเรียนจบม.6 แล้วจะมาสมัครงานที่บริษัทๆ นึง  แต่มันต้องจบวุฒิป.ตรี  น้องจึงต้องเดินทางไปที่ขอนแก่นเพื่อลงทะเบียนเรียนฟรีสำหรับหลักสูตรคนพิการอะไรซักอย่างอ่ะนะ  ระหว่างทางเดินเห็นร้านขายลูกชิ้นเราก็แว๊บขึ้นมาว่าเวลาประมาณนี้น้องเค้าได้ทานข้าวหรือยัง   จึงถามไปว่าทานข้าวไปรึยัง   น้องบอกว่าเหลือเงินติดตัวอยู่พียง 2 บาทพูดพร้มกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วแบมือให้เราดูเหรียญ 2 บาทเหรียญนึง    น้องบอกอีกว่าแค่ได้ขึ้นรถฟรีเค้าก็ไปต่อได้สบายแล้ว  เดี๋ยวกลับไปอีกวัน 2 วันเค้าก็จะได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงผู้พิการ 500 บาทเค้าก็จะอยู่ต่อได้แล้ว     เราเห็นท่าทางของน้องเค้าแล้วรู้สึกแปลกใจมาก ว่าระหว่างทางน้องเค้าสนทนาพูดคุยกับเราด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มอย่างไม่อนาธรณ์ทุกร้อนใดๆ  ทั้งๆ ที่เพิ่งจะโดนแท็กซี่ทำกับเค้าขนาดนั้น    ทำให้เราคิดว่าถึงน้องเค้าจะเป็นผู้พิการที่มองไม่เห็นแต่ภาพภายในจิตใจของน้องเค้ากลับสว่างไสวมากมาย    ตลอดเวลาที่น้องเล่าน้องไม่ได้ด่าว่าหรือแสดงความรู้สึกเคียดแค้นใดๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย

พอมาถึงสถานีรถไฟฟ้าฯ ก็เข้าไปซื้อตั๋วของเราส่วนน้องเค้าสามารถโดยสารได้ฟรีจริงๆ ด้วย  (เพิ่งจะรู้ว่าเมืองไทยมีการดูแลผู้พิการในเรื่องนี้รถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดินให้ผุ้พิการโดยสารรถได้ฟรี  แต่มีเรื่องแปลกอยู่ว่า.. รถเมล์กลับไม่ยอมให้ผู้พิการขึ้นรถฟรีอ่ะ!  งงมากๆ เลยประเทศไทย!!!)   เราพาน้องลงบันไดเลื่อนไปถึงชานชาลา รถมาพอดี     เรารีบหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ภายในกระเป๋ามีเงินเหลืออยู่เพียง 120 บาท เพราะยังไม่ได้กดเงินเรารีบควักเงิน 100 บาทยัดใส่มือน้องแล้วจูงขึ้นรถไฟฟ้าไปน้องหันมามองหน้าแล้วบอกขอบคุณพร้อมกับที่สัญญาณปิดประตูรถร้องเตือน  แล้วเราก็เดินไปรอรถที่ชานชาลาฝั่งตรงข้ามซึ่งขึ้นแค่สถานีเดียวก็ถึงบ้านแล้ว

วันนี้เราใช้เวลาระหว่างออฟฟิศถึงบ้านยาวนานกว่าปกติแต่สิ่งที่ได้พบเจอในวันนี้กลับทำให้เรารุ้สึกดีใจและภูมิใจที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนไทยด้วยกันแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ความสุขที่ได้จากตรงนี้มันทำให้หัวใจเราพองโตอย่างมาก

สังคมในปัจจุบันทุกคนต่างรีบเร่งเพื่อต้องการที่จะเดินทางไปสู่จุดหมายของตนเอง   แต่... อยากสะกิดเตือนให้คุณคิดซักนิดว่า ในระหว่างที่คุณกำลังเ่ร่งรีบกับชีวิตประจำวันของตนเอง  ลองใช้เวลาเพียงเล็กน้อยหันไปมองรอบๆ ตัวคุณ   ว่ามีใครที่กำลังเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลืออยู่บ้างหรือไม่   บางครั้งการที่คุณสละเวลาเพียงไม่นานช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่คุณไม่รู้จักซักคนนึง มันอาจจะทำให้ชีวิตของคุณมีโอกาสได้เติมเต็มความภาคภูมิใจเล็กๆไว้ในหัวใจของคุณก็ได้นะคะ  

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรม "รักพ่อภาคปฏิบัติ" ที่พวกเราให้คำจำกัดความว่า "เราจะสู้เพื่อในหลวงภูมิพลฯ"


 เมื่อฉันและเพื่อนๆ ตัดสินใจทำกิจกรรม "รักพ่อภาคปฏิบัติ"  ขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ต้องการกระตุ้นให้คนในสังคมออกมาแสดงความรักในหลวง
อย่างออกนอกหน้า แทนที่จะรักอยู่แต่ในใจ และรอให้ทุกคนออกมาแสดงความรักพร้อมๆ กันทีเดียวในทุกวันที่ 5 ธันวาคม มีคำถามเกิดขึ้นในใจ
ของพวกเราว่า
"ทำไมเราจึงต้องรักในหลวงพร้อมๆ กันเพียงแค่วันเดียว ทั้งที่จริงแล้วพวกเรารักในหลวงทุกวัน เพียงแต่เลือกที่จะแสดงออก
พร้อมๆ กันในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเท่านั้น?"

คงเป็นเพราะคนไทยมีลักษณะนิสัยขี้อายอย่างนั้นหรือ? ไม่กล้าที่จะแสดงออกซึ่งความรักต่อบุคคลที่เราเคารพนับถือ ชื่นชม เทิดทูนด้วยการกระทำ บางคนชอบมองบุคคลที่ตนเองชื่นชมด้วยสายตาที่ปลาบปลื้ม เพียงเท่านี้ก็คิดว่าเพียงพอแล้ว
แต่ในความเป็นจริงนั้น การที่เราจะแสดงออกต่อบุคคลที่เราชื่นชมและเคารพนับถือเทิดทูนมีได้หลายวิธี แต่...พวกเราชาว "รักพ่อภาคปฏิบัติ"
เลือกที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อในหลวงซึ่งเป็นบุคคลที่พวกเราเทิดทูน ด้วยการออกมาถวาย คำสัตย์ปฏิญาณตนว่า .....

"เพราะพระองค์ปลูกข้าว ข้าพระพุทธเจ้าจึงรักผืนนาดั่งดวงจิต
เพราะพระองค์สร้างบัญฑิต ข้าพระพุทธเจ้าจึงอุทิศตนเพื่อปวงประชา
เพราะพระองค์ปลูกป่า ข้าพระพุทธเจ้าจึงรักษาผืนป่าไว้ด้วยหัวใจ
เพราะพระองค์สร้างชาติไซ้ร ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษาชาติไว้ด้วยชีวิต"

ทุกสิ่งที่พวกเราเปล่งวาจาออกไปเราปฏิบัติ ทุกสิ่งที่เราคิด เราเอามาทำ ทุกสิ่งที่เราทำ เราทำด้วยความสุจริตใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ มาเกี่ยวข้อง
ทุกความตั้งใจที่ทคนจริงทำมากกว่าพูด ทุกคนมีความคิดเหมือนๆ กันว่า จะปกป้องพระองค์ท่าน และสถาบันกษัตริย์ ให้ดำรงคงอยู่คู่กับชาติไทยสืบต่อไป

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เหนือหัวภูมิพลฯ ธ ทรงสถิตอยู่กับฉัน



มีเรื่องดีๆ อีกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก่อนทำกิจกรรมปฏิญาณตน ในกิจกรรม "รักพ่อภาคปฏิบัติ" พี่นิพี่สาวที่เพิ่งจะรู้จักกันใน Facebook เพราะความที่เราสองคนรักและเทิดทูนในหลวงและสถาบันฯ เหมือนๆ กัน
พี่นิ : น้องขวัญมานี่พี่จะให้ดูอะไร     // พูดพลางก็หยิบเหรียญที่มีพระบรมสาธิตลักาณ์ของในหลวงออกมาให้ฉันดู
ฉัน : โห.. พี่นิสวยมากๆ เลยค่ะ     // แล้วพี่สาวก็พลิกด้านหลังของเหรียญให้ฉันดูอีกครั้ง  ด้านหน้าว่าสวยแล้วแต่ด้านหลังยิ่งสวยมากกว่าเพราะเป็นรูปสลักพระราชกรณียกิจที่สามารถสะท้อนและเปลี่ยนสีได้เมื่อกระทบแสง
  


พี่นิ : นี่จ้ะ...พี่ให้  // พี่นิพูดพลางยื่นถุง พลาสติกเล็กๆ ถุงนึงให้กับฉันข้างในถุงมีถุงผ้าเล็กๆ บรรจุอยู่ เมื่อฉันเปิดออกดูก็พบว่า มีเหรียญแบบเดียวกันกับที่พี่นิเอาให้ฉันดุเมื่อสักครู่นี้                  
พี่นิ : แฟนของพี่ฝากพี่ให้เอามาให้ขวัญ เพราะเค้าทราบจากพี่ว่าขวัญรักในหลวงมาก // ฉันมองหน้าพี่สาวที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งที่สองอย่างไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ฉันได้ยินมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า???
ฉัน : พี่นิให้ขวัญจริงๆ หรือคะ???   //  ความรู้สึกในตอนนั้นตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ              
พี่นิ : ใช่ค่ะ ต่อไปนี้พระองค์ท่านจะอยู่กับเราและเป็นกำลังใจให้ขวัญทำงานเพื่อพระองค์ท่าน และขอที่น้องทำความดีอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะคะ // ฉันยื่นมือไปรับเหรียญมาถือไว้ด้วยความดีใจ 

ฉัน : ขอบคุณมากนะคะพี่นิ... ขวัญจะรักษาเหรียญนี้ให้ดีที่สุดเลยค่ะ  //  พี่นิยิ้มให้ฉันแล้วก็บอกให้ฉันไปดูแลกิจกรรมปฏิญาณตนต่อ  


ในขณะที่ฉันเดินกลับไปยังกลุ่มผู้คนที่มาเข้าแถวรอเตรียมปฏิญาณตน  ฉันยกเหรียญที่เพิ่งได้รับจากพี่นิขึ้นมาอ่านตัวหนังสือที่พิมพ์ไว้ ด้านหลังของถุงระบุว่า...  
"เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา ภูมิพลมหาราช" จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  
เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงเฉลิมพระชนมพรรษา
ครบ  ๖  รอบ  ๕ ธันวาคม  ๒๕๔๒    
คุณพระช่วย ...  เหรียญนี้มีอายุกว่า ๑O ปี!!!!!



 

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

พระราชอารมณ์ขันของในหลวงภูมิพลฯ (ตอนที่ 3)


6. เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจน มีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง   เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่า  ควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง  แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า

"ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ

7. เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า
"ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?"

ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม

8. เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว ราษฎรผู้หนึ่งจึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"

9. เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่าเมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว

และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป   พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว   ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

"ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน"

พระราชอารมณ์ขันของในหลวงภูมิพลฯ (ตอนที่ 2)


3. มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า "เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง"

ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า "เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง"

(สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ

ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า "แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"

4. เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ

ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"

5.เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ

ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม

    ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"

เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..."

ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

ความห่วงใยจาก "วาเด็ง ปูเต๊ะ" พระสหาย ถึง ในหลวง (ตอนที่ 2)

ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ขณะที่ "เป๊าะเด็ง" กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการดูแลต้นทุเรียนและลองกองในสวน ช่วงเวลาใกล้ค่ำได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หนึ่งในจำนวนนั้นได้กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แต่ตัวผู้เฒ่าเองกลับรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ผู้เฒ่าเห็นทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรความเป็นไปได้ในการสร้างอาคารกั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี

              "ตอนนั้นเป๊าะทราบแล้วว่าเป็นในหลวง แต่จะเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่กล้า เพราะว่านุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็บอกว่า จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น เป๊าะก็ดีใจมาก คุยกันเยอะ ท่านถามว่าถ้าขุดคลองสายทุ่งเค็จนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน เป๊าะบอกท่านว่า คลองเส้นนี้มีที่ดินติดเขต ต.แป้น ทางเหนือขึ้นไปสุดที่ อ.ศรีสาคร ในหลวงถามต่อว่า ถ้าไปออกทะเลจะมีกี่เกาะ เป๊าะก็ตอบท่านไปว่ามี 4 เกาะ ท่านก็ชมว่า เก่งสามารถจำทุกที่ที่ผ่านไปได้ แล้วท่านก็เปิดดูแผนที่ที่นำมาด้วย แล้วบอกว่า เป๊าะรู้จริง ไม่โกหก ทุกสิ่งที่เป๊าะบอกมีอยู่ในแผนที่ของพระองค์แล้ว" เป๊าะเด็ง ทบทวนความทรงจำด้วยแววตาสดชื่น 



           หลังจากได้กราบบังคมทูลเส้นทางขุดคลองในโครงการพระราชดำริแล้ว ในครั้งนั้นผู้เฒ่าแห่งบ้านเบาะเลาะ ยังได้ถวายที่ดินเพื่อดำเนินโครงการพระราชดำริอีกด้วย และหลังขุดคลองชลประทานดังกล่าวเสร็จแล้ว ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาทรงงานและประทับแปรพระราชฐานที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จ.นราธิวาส เป๊าะเด็งก็จะไปเข้าเฝ้าฯ แทบทุกครั้ง หรือบางครั้งถ้าหากคิดถึงพระองค์มากๆ เป๊าะเด็งก็จะไปขอเข้าเฝ้าฯ ถึงพระราชวังสวนจิตรลดา
             
          "เมื่อถึงฤดูทุเรียน ลองกอง จำปาดะ ก็จะนึกถึงในหลวงตลอด ถ้าท่านมาที่นี่ (บ้านทุ่งเค็จ) ก็เอาไปถวายที่นี่ บางปีท่านไม่ได้มา ก็ส่งผลไม้ไปถวายท่าน ทางไปรษณีย์ ส่งอีเอ็มเอสไปเลย เวลาส่งเขียนหนังสือไม่เป็น ก็บอกเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ว่า จะส่งของไปให้ในหลวงที่สวนจิตร เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินการให้" เป๊าะเด็ง กล่าว
              


            เป๊าะเด็ง บอกว่า ผลไม้ที่ส่งไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น ถึงพระหัตถ์เสมอ เพราะทุกครั้งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ทั้งสองพระองค์มักจะมีรับสั่งว่า "ขอบใจ ผลไม้ที่ส่งไปให้ ได้รับแล้ว"

              เป๊าะเด็ง เล่าว่า เสียค่าส่งผลไม้ไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งละ 1,000 กว่าบาท เป๊าะเด็งอยากให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสวยผลไม้ที่ส่งไปถวายเช่นเดียวกับที่ดินที่ถวายไป เป๊าะเด็งก็ไม่เคยคิดเสียดายแม้แต่น้อย และหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะใช้ประโยชน์ที่บริเวณไหนที่เป็นของเป๊าะเด็งแล้ว เป๊าะเด็งพร้อมที่จะทูลเกล้าฯ ถวายให้ทั้งหมด
              
          "เมื่อในหลวงมาที่ อ.แม่ลานครั้งล่าสุด พอเจอเป๊าะก็เข้าไปกอดเลยไม่ได้พูดอะไรกับท่าน ท่านรู้นิสัยเป๊าะดีว่าไม่ค่อยพูดอะไร ท่านก็เรียกเป๊าะ" "คิดถึงท่านที่สุดเลย" เป๊าะเด็ง บอกผ่านล่ามเมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรหากไม่ได้เจอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนานๆ  

คำว่า "มิตรภาพ" ไม่มีพรหมแดนจริงๆ