วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554
สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าความภาคภูมิใจ (ก่อนกลับบ้าน)
เมื่อสักชม.ที่ผ่านมาระหว่างที่ยืนรอรถจะกลับบ้านสายตาเหลือบไปเห็นน้องผู้หญิงคนนึง รู้สึกว่าจะเป็นผู้พิการตาบอดทั้งสองข้างนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายเดียวกัน ด้วยความที่ชอบเป็นคนช่างสงสัยอยู่เป็นทุนเดิมก็พยายามมองหาไม้เท้าของเธอเพราะสงสัยว่าเป็นผู้พิการตาบอดแล้วทำไมจึงไม่มีไม้เท้า พอจ้องมากๆ เข้าเธอก็หันมามองหน้าสบตากับเรา
"เฮ้ย... น้องเค้ามองเห็นนี่หว่า!!!" // แบบว่า..ตกใจอย่างแรงงงงงงง...
จังหวะนั้นมีรถเมล์แดงมาจอดที่ป้ายรถพอดีสาวน้อยผู้พิการก็ทำท่าเพ่งมองรถเมล์คันที่มาจอด แล้วหันซ้ายหันขวาทำท่าจะหาคนถาม ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ เธอก็เลยถามขึ้นว่าจะไปรถสายอะไร พร้อมๆ กับเราซึ่งก็คิดว่าน้องเค้าคงต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดีเหมือนกัน น้องเค้าบอกว่ารอรถสาย 136 อยู่ เราบอกน้องว่างั๊นเดี่ยวจะรอรถแล้วขึ้นไปเป็นเพื่อนเพราะรถสายนี้วิ่งผ่านหน้าบ้านของเราอยู่แล้วพอผู้หญิงคนที่นั่งข้าง น้องเค้าเห็นเราเข้าไปถามนั่น โน่นนี่น้องเค้าแล้ว เธอก็ยิ้มให้เราทีนึงเหมือนจะเบาใจว่าน้องเค้าได้นารีขี่ม้าขาวเข้ามาดูแลให้แล้ว อิ อิ
เราจึงถามน้องว่าจะไปลงที่ไหน? น้องบอกว่าจะไปลงที่สวนจตุจักร เราตามต่อว่าไปลงที่สวนจตุจกรแล้วจะไปไหนต่อ (แล้วมันเรื่องอะไรของตรูฟระ? ถามซอกแซกจริงๆ ฮ่าาาา...) น้องบอกว่าต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อขึ้นรถสาย 29 เราถามต่ออีกว่า... แล้วจะนั่งสาย 29 ไปลงที่ไหน??? "น้องตอบว่า...จะไปลงหัวลำโพง" แอร๊ยสสสสสสส์... OoO" ตกใจอย่างแรงงงงส์ (อีกครั้ง) ใครหนอช่างแนะนำน้องเค้าได้เช่นนี้!!! ตอนนั้นรู้ว่าคงจะปล่อยน้องเค้าให้เดินทางไปเองอย่างนันไม่ได้แล้วจึงตามต่ออย่างไม่เกรงใจว่า จะไปทำอะไรที่หัวลำโพงคะ? น้องบอกว่าจะนั่งรถไปลงทะเบียนเรียนที่ขอนแก่น รถไฟฟรีจะออกตอน 3 ทุ่ม แล้วน้องก็ถามเราต่อว่าที่จริงหนูสามารถนั่งไปรถไฟฟ้าใต้ดินฟรีไปลงที่หัวลำโพงได้โดยใช้บัตรประจำตัวของผู้พิการ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปขึ้นตรงไหน? เพราะตาของน้องสามารถมองเห็นได้แค่ 30 % ครั้นจะถามใครก็เกรงใจกลัวเค้าจะไม่ว่างให้ถาม (โถ..แม่คุณ ) เราเลยบอกกับน้องว่าถ้าน้องไปต่อรถอย่างที่บอกพี่มั่นใจว่าน้องไปขึ้นรถไฟไม่ทัน 3 ทุ่มแน่ๆ เดี๋ยวพี่จะเดินไปส่งขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินให้เอง แล้วเราก็จูงมือกับน้องเค้าเดินย้อนขึ้นไปเพื่อพาน้องไปลงรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานีพระราม 9
ระหว่างที่เดินไปก็ชวนคุยกันไป น้องเล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมานั่งรอที่ป้ายรถเมล์นี่น้องมาจากหน้าม.รามฯ ขึ้นแท็กซี่บอกว่าจะไปหัวลำโพง ทั้งตัวเหลือเงินอยู่แค่ 180 บาท แต่แท็กซี่กลับมาปล่อยให้น้องลงตรงสถานฑูตจีนแทน อ้างว่ารถติด แล้วเรียกค่าโดยสาร 178 บาท แล้วยังแนะนำน้องเค้าให้ขึ้นรถเมล์ฟรีสาย 136 ไปลงจตุจักร แล้วต่อรถเมล์ฟรีสาย 29 ไปลงหัวลำโพง (ดูความเลวร้ายของคนเรานะ.. ทำได้แม้แต่ผู้พิการ) แท็กซี่เอาน้องเค้ามาทิ้งไว้ที่ป้ายรถเมล์ตั้งแต่ 5 โมงครึ่ง น้องบอกนั่งอยุ่ตรงนี้มาราวๆ 2 ชม.ได้ เราตกใจมากเพราะปกติเราจะไม่ค่อยมาขึ้นรถที่ป้ายนี้ซักเท่าไร นี่ถ้าเราไปขึ้นรถกลับบ้านอีกป้ายนึงตามปกติ ก็ไม่รู้ว่าน้องเค้าจะต้องนั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์นี้จนถึงเมื่อไหร่
น้องเล่าว่าเรียนจบม.6 แล้วจะมาสมัครงานที่บริษัทๆ นึง แต่มันต้องจบวุฒิป.ตรี น้องจึงต้องเดินทางไปที่ขอนแก่นเพื่อลงทะเบียนเรียนฟรีสำหรับหลักสูตรคนพิการอะไรซักอย่างอ่ะนะ ระหว่างทางเดินเห็นร้านขายลูกชิ้นเราก็แว๊บขึ้นมาว่าเวลาประมาณนี้น้องเค้าได้ทานข้าวหรือยัง จึงถามไปว่าทานข้าวไปรึยัง น้องบอกว่าเหลือเงินติดตัวอยู่พียง 2 บาทพูดพร้มกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วแบมือให้เราดูเหรียญ 2 บาทเหรียญนึง น้องบอกอีกว่าแค่ได้ขึ้นรถฟรีเค้าก็ไปต่อได้สบายแล้ว เดี๋ยวกลับไปอีกวัน 2 วันเค้าก็จะได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงผู้พิการ 500 บาทเค้าก็จะอยู่ต่อได้แล้ว เราเห็นท่าทางของน้องเค้าแล้วรู้สึกแปลกใจมาก ว่าระหว่างทางน้องเค้าสนทนาพูดคุยกับเราด้วยอารมณ์เบิกบานยิ้มแย้มอย่างไม่อนาธรณ์ทุกร้อนใดๆ ทั้งๆ ที่เพิ่งจะโดนแท็กซี่ทำกับเค้าขนาดนั้น ทำให้เราคิดว่าถึงน้องเค้าจะเป็นผู้พิการที่มองไม่เห็นแต่ภาพภายในจิตใจของน้องเค้ากลับสว่างไสวมากมาย ตลอดเวลาที่น้องเล่าน้องไม่ได้ด่าว่าหรือแสดงความรู้สึกเคียดแค้นใดๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย
พอมาถึงสถานีรถไฟฟ้าฯ ก็เข้าไปซื้อตั๋วของเราส่วนน้องเค้าสามารถโดยสารได้ฟรีจริงๆ ด้วย (เพิ่งจะรู้ว่าเมืองไทยมีการดูแลผู้พิการในเรื่องนี้รถไฟฟ้าทั้งใต้ดินบนดินให้ผุ้พิการโดยสารรถได้ฟรี แต่มีเรื่องแปลกอยู่ว่า.. รถเมล์กลับไม่ยอมให้ผู้พิการขึ้นรถฟรีอ่ะ! งงมากๆ เลยประเทศไทย!!!) เราพาน้องลงบันไดเลื่อนไปถึงชานชาลา รถมาพอดี เรารีบหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ภายในกระเป๋ามีเงินเหลืออยู่เพียง 120 บาท เพราะยังไม่ได้กดเงินเรารีบควักเงิน 100 บาทยัดใส่มือน้องแล้วจูงขึ้นรถไฟฟ้าไปน้องหันมามองหน้าแล้วบอกขอบคุณพร้อมกับที่สัญญาณปิดประตูรถร้องเตือน แล้วเราก็เดินไปรอรถที่ชานชาลาฝั่งตรงข้ามซึ่งขึ้นแค่สถานีเดียวก็ถึงบ้านแล้ว
วันนี้เราใช้เวลาระหว่างออฟฟิศถึงบ้านยาวนานกว่าปกติแต่สิ่งที่ได้พบเจอในวันนี้กลับทำให้เรารุ้สึกดีใจและภูมิใจที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนไทยด้วยกันแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ความสุขที่ได้จากตรงนี้มันทำให้หัวใจเราพองโตอย่างมาก
สังคมในปัจจุบันทุกคนต่างรีบเร่งเพื่อต้องการที่จะเดินทางไปสู่จุดหมายของตนเอง แต่... อยากสะกิดเตือนให้คุณคิดซักนิดว่า ในระหว่างที่คุณกำลังเ่ร่งรีบกับชีวิตประจำวันของตนเอง ลองใช้เวลาเพียงเล็กน้อยหันไปมองรอบๆ ตัวคุณ ว่ามีใครที่กำลังเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลืออยู่บ้างหรือไม่ บางครั้งการที่คุณสละเวลาเพียงไม่นานช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่คุณไม่รู้จักซักคนนึง มันอาจจะทำให้ชีวิตของคุณมีโอกาสได้เติมเต็มความภาคภูมิใจเล็กๆไว้ในหัวใจของคุณก็ได้นะคะ
วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554
กิจกรรม "รักพ่อภาคปฏิบัติ" ที่พวกเราให้คำจำกัดความว่า "เราจะสู้เพื่อในหลวงภูมิพลฯ"
เมื่อฉันและเพื่อนๆ ตัดสินใจทำกิจกรรม "รักพ่อภาคปฏิบัติ" ขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ต้องการกระตุ้นให้คนในสังคมออกมาแสดงความรักในหลวง
อย่างออกนอกหน้า แทนที่จะรักอยู่แต่ในใจ และรอให้ทุกคนออกมาแสดงความรักพร้อมๆ กันทีเดียวในทุกวันที่ 5 ธันวาคม มีคำถามเกิดขึ้นในใจ
ของพวกเราว่า
"ทำไมเราจึงต้องรักในหลวงพร้อมๆ กันเพียงแค่วันเดียว ทั้งที่จริงแล้วพวกเรารักในหลวงทุกวัน เพียงแต่เลือกที่จะแสดงออก
พร้อมๆ กันในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเท่านั้น?"
คงเป็นเพราะคนไทยมีลักษณะนิสัยขี้อายอย่างนั้นหรือ? ไม่กล้าที่จะแสดงออกซึ่งความรักต่อบุคคลที่เราเคารพนับถือ ชื่นชม เทิดทูนด้วยการกระทำ บางคนชอบมองบุคคลที่ตนเองชื่นชมด้วยสายตาที่ปลาบปลื้ม เพียงเท่านี้ก็คิดว่าเพียงพอแล้ว
แต่ในความเป็นจริงนั้น การที่เราจะแสดงออกต่อบุคคลที่เราชื่นชมและเคารพนับถือเทิดทูนมีได้หลายวิธี แต่...พวกเราชาว "รักพ่อภาคปฏิบัติ"
เลือกที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อในหลวงซึ่งเป็นบุคคลที่พวกเราเทิดทูน ด้วยการออกมาถวาย คำสัตย์ปฏิญาณตนว่า .....
"เพราะพระองค์ปลูกข้าว ข้าพระพุทธเจ้าจึงรักผืนนาดั่งดวงจิต
เพราะพระองค์สร้างบัญฑิต ข้าพระพุทธเจ้าจึงอุทิศตนเพื่อปวงประชา
เพราะพระองค์ปลูกป่า ข้าพระพุทธเจ้าจึงรักษาผืนป่าไว้ด้วยหัวใจ
เพราะพระองค์สร้างชาติไซ้ร ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษาชาติไว้ด้วยชีวิต"
ทุกสิ่งที่พวกเราเปล่งวาจาออกไปเราปฏิบัติ ทุกสิ่งที่เราคิด เราเอามาทำ ทุกสิ่งที่เราทำ เราทำด้วยความสุจริตใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ มาเกี่ยวข้อง
ทุกความตั้งใจที่ทคนจริงทำมากกว่าพูด ทุกคนมีความคิดเหมือนๆ กันว่า จะปกป้องพระองค์ท่าน และสถาบันกษัตริย์ ให้ดำรงคงอยู่คู่กับชาติไทยสืบต่อไป
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
เหนือหัวภูมิพลฯ ธ ทรงสถิตอยู่กับฉัน
มีเรื่องดีๆ อีกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก่อนทำกิจกรรมปฏิญาณตน ในกิจกรรม "รักพ่อภาคปฏิบัติ" พี่นิพี่สาวที่เพิ่งจะรู้จักกันใน Facebook เพราะความที่เราสองคนรักและเทิดทูนในหลวงและสถาบันฯ เหมือนๆ กัน
พี่นิ : น้องขวัญมานี่พี่จะให้ดูอะไร // พูดพลางก็หยิบเหรียญที่มีพระบรมสาธิตลักาณ์ของในหลวงออกมาให้ฉันดู
ฉัน : โห.. พี่นิสวยมากๆ เลยค่ะ // แล้วพี่สาวก็พลิกด้านหลังของเหรียญให้ฉันดูอีกครั้ง ด้านหน้าว่าสวยแล้วแต่ด้านหลังยิ่งสวยมากกว่าเพราะเป็นรูปสลักพระราชกรณียกิจที่สามารถสะท้อนและเปลี่ยนสีได้เมื่อกระทบแสง
พี่นิ : แฟนของพี่ฝากพี่ให้เอามาให้ขวัญ เพราะเค้าทราบจากพี่ว่าขวัญรักในหลวงมาก // ฉันมองหน้าพี่สาวที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งที่สองอย่างไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ฉันได้ยินมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า???
ฉัน : พี่นิให้ขวัญจริงๆ หรือคะ??? // ความรู้สึกในตอนนั้นตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ
พี่นิ : ใช่ค่ะ ต่อไปนี้พระองค์ท่านจะอยู่กับเราและเป็นกำลังใจให้ขวัญทำงานเพื่อพระองค์ท่าน และขอที่น้องทำความดีอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะคะ // ฉันยื่นมือไปรับเหรียญมาถือไว้ด้วยความดีใจ
ฉัน : ขอบคุณมากนะคะพี่นิ... ขวัญจะรักษาเหรียญนี้ให้ดีที่สุดเลยค่ะ // พี่นิยิ้มให้ฉันแล้วก็บอกให้ฉันไปดูแลกิจกรรมปฏิญาณตนต่อ
ในขณะที่ฉันเดินกลับไปยังกลุ่มผู้คนที่มาเข้าแถวรอเตรียมปฏิญาณตน ฉันยกเหรียญที่เพิ่งได้รับจากพี่นิขึ้นมาอ่านตัวหนังสือที่พิมพ์ไว้ ด้านหลังของถุงระบุว่า...
"เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา ภูมิพลมหาราช" จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงเฉลิมพระชนมพรรษา
ครบ ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
คุณพระช่วย ... เหรียญนี้มีอายุกว่า ๑O ปี!!!!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)